ความหมายและความแตกต่างของ E- Learning CAI และ WBI
e-Learning
คำว่า e-Learning คือ
การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น
กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต
เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ
เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based
Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม
หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า
e-Learning กับการเรียน การสอน หรือการอบรม
ที่ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Based Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา
รวมถึงเทคโนโลยีระบบการจัดการหลักสูตร (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่างๆ
โดยผู้เรียนที่เรียนด้วยระบบ e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์
หรือ จากแผ่นซีดี-รอม ก็ได้ และที่สำคัญอีกส่วนคือ เนื้อหาต่างๆ ของ e-Learning
สามารถนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia
Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive
Technology) คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น
Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based
training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์
หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น
ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ
รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา
โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1
สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว
หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้
Web Base Instruction (WBI)
WBI แบบไหนถึงเรียกว่า WBIก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
WBI คืออะไรWBI ย่อมาจาก
Web based instructionWBI ไม่ใช่ CAI WBI เป็นเครื่องมือสำหรับ
การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ E-Learningซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ E
Education และเป็นส่วนย่อยของระบบใหญ่ E Commerceแสดงระบบ
E-Commerce => E education => E-LearningWBI เป็น
การจัดการศึกษาในรูปแบบ Web Knowladge Based On Line เป็นการจัดสภาวกาณ์การเรียนการสอน
ในรูปแบบ On Lineโดยมีข้อกำหนด อย่างไรจึงจะเรียกว่า WBI
การจะเป็น WBI จะต้องมีสิ่งต่อไปนี้อย่างสมบรูณ์
ได้แก่ความเป็นระบบความเป็นเงื่อนไขการสื่อสารหรือกิจกรรมLearning Root ความเป็นระบบ
System(แสดงรูประบบ)ความเป็นระบบสามารถแบ่งเป็นInput
ได้แก่1. ผู้เรียน2. ผู้สอน3.
วัตถุประสงค์การเรียน4. สื่อการสอน5. ฐานความรู้6.
การสื่อสาร & กิจกรรม7. การประเมินผล8.
อื่นๆ ฯลฯ (แล้วแต่สถาบันจะกำหนดปัจจัยที่นอกเหนือจากนี้)Process
ได้แก่การสร้างสถานการณ์หรือการจัดสภาวะการเรียนการสอน
โดยใช้วัตถุดิบจาก Input อย่างมี กลยุทธ หรือ
ตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอนOutput ได้แก่ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้
ซึ่งได้จากการประเมินผลความเป็นเงื่อนไขอะไรคือ เงื่อนไข
เงื่อนไขนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ WBI อาทิกำหนดเงื่อนไขว่า
เมื่อเสร็จสิ้นจากการเรียนแล้วจะต้องทำแบบประเมินการเรียน
หากทำแบบประเมินผ่านตามคะแนนที่กำหนดไว้
ก็สามารถไปศึกษาบทเรียนอื่นๆหรือบทเรียนที่ยากขึ้นเป็นลำดับได้
แต่ถ้าไม่ผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด
ก็จะต้องเรียนซ้ำจนกว่าจะผ่านการสื่อสารหรือกิจกรรมอะไรคือ การสื่อสาร &
กิจกรรม กิจกรรมจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการปฏิสัมพันธ์
หรือการสื่อสารขึ้นภายในสถานะการณ์การเรียน โดยไม่ต่างจากห้องเรียนปกติอาจเรียกว่า
Virturl Classroom กิจกรรมจะเป็นตัวช่วยให้การเรียนเข้าสู่เป้าหมาย
ได้ง่ายขึ้น เช่น ใช้ Mail Chat Webboard Search ฯลฯ
ติดต่ออาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อถามข้อสงสัยLearning
RootLearning Root มิใช่ Learning Link กล่าวคือ
Learning Root เป็นการกำหนดแหล่งความรู้ภายนอก
ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน โดยมีเงื่อนไข เช่น แหล่งความรู้ภายนอก
ที่มีความยากเป็นลำดับ หรือ เกี่ยวข้องกับหัวข้อการเรียนเป็นลำดับ การกำหนด Leaning
Root โดยใช้ เทคนิค Frame จะช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดภาวะหลงทางCopy
Right 2000 Passkorn Roungrong email: webmaster@thaiwbi.com
Computer Assisted Instruction (CAI)
Computer Assisted Instruction หรือที่เรียกกันย่อๆ
ว่า CAI มักจะเป็นส่วนที่พวกเราเข้าใจผิดมากกว่าเป็นส่วนของระบบการเรียนรู้หรือการศึกษา
ด้วย คอมพิวเตอร์ทั้งหมด จริงๆแล้ว CAI จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อติดต่อโดยตรงกับ
นักเรียนในการแสดงเนื้อหาบทเรียนตามลำดับขั้น ตอนอย่างเป็นระบบด้วยชุดคำสั่งจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์เครื่องคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงและมีความยืดหยุ่นคล่องตัวในการสั่งคำสั่งการกระโดดข้ามควบคุมการลื่นไหลของบทเรียนได้เป็นอย่างดีอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถควบคุมการทำงานของสื่อประเภทอื่น
เช่น เสียงหรือ ภาพวิดีโอเข้ามาประกอบได้อย่างกลมกลืน CAI จะเป็นตัวกลางของคำสั่งเป็นขบวนการของคำสั่งของการใช้งานคอมพิวเตอร์
ซึ่งอาจแบ่งออกได้หลายรูปแบบ เช่น แบบบทเรียนสอน(Tutorial) จะเป็นแบบที่เราพบ
เห็นกันมากที่สุด โดยจะเป็นการนำเสนอบทเรียนด้วย ข้อมูลต่างๆ
ตามด้วยบททดสอบความเข้าใจ หากไม่เข้าใจหรือตอบคำถามไม่ได้ ก็จะกระโดด
ไปนำเสนอข้อมูล ของบทเรียนใหม่หรือนำเสนอข้อมูล เติมด้วยวิธีการใหม่
แล้วย้อนคำถามเติมซ้ำใหม่ แต่ถ้าตอบคำถามได้ดี
ก็จะกระโดดไปนำเสนอบทเรียนชุดย่อยอื่นๆและตอบ คำถามในชุดย่อยนั้นๆ
ตามลำดับในลักษณะเดิมไปจนจบชุดเรียนรูปแบบของ CAI ที่พบเห็นกันทั่วไปอีกแบบหนึ่งคือ
การฝึกฝนทดสอบจากแบบฝึกหัด (Drill and Practice) ซึ่งจะเป็นลักษณะของโจทย์แบบฝึกหัดเรียงข้อตาม
ลำดับเพื่อให้ตอบ หลังจากตอบทุกคำถามแล้วก็จะสรุปผลจำนวนที่ตอบถูกหรือผิดออกมาให้
ส่วนรูปแบบ ของ CAI อื่นๆ อีก ได้แก่ การสร้างเป็นเกมส์ (Instruction
Games) เช่น การบวกตัวเลขของเด็กนักเรียน
การสร้างเป็นรูปแบบ (Modeling) เช่น การสร้างรูปแบบประชากร
เพื่อใช้ศึกษาตัวแปรที่มีผลต่อระบบและการจำลอง ขบวนการหรืออุปกรณ์(Simulation)
เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจและเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานของระบบที่สนใจหรือ
การทำงานของอุปกรณ์ต่างๆเป็นต้นComputer Manage instruction (CMI) คือ
เป็นส่วนที่ช่วยจัดการติดตามการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์
โดยสามารถใช้ติดตามผลเป็นรายบุคคล และใน ระดับชั้น CMI นับเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์อีกส่วนหนึ่ง
แต่ไม่ค่อย ได้รับความสนใจเท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับ CAI รูปแบบ
ของ CMI ได้แก่ การตรวจสอบ (Testing)เพื่อใช้วัดระดับความรู้ของผู้เรียนเทียบกับวัตถุประสงค์
การสร้างข้อวินิจฉัย (Prescription Generation) ซึ่งระบบ
CMI จะสร้างข้อ วินิจฉัยสำหรับผู้เรียนเป็นรายบุคคล
ทั้งนี้ เพราะผู้เรียนแต่ละคนอาจมีพื้นฐานและประสบการณ์ ที่แตกต่างกัน
ดังนั้นข้อวินิจฉัยจะบอกจุดแข็งและจุดอ่อน จากการเรียนภายในบทเรียนที่ทดสอบนั้น
และการเก็บความก้าวหน้าของผู้เรียน ( Record Keeping) เพื่อใช้ติดตามผลการเรียนรู้ในรายบุคคลและในระดับชั้นCSLR
หรือ Computer Suppported Learning Resource เป็นเรื่องที่สถาบันการศึกษายุคใหม่ให้ความสนใจมาก
เพราะทรัพยากรที่ใช้ในเรื่องการเรียน การสอนมีจำกัด
จำเป็นที่จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดคุ้มค่ากับการลงทุน
และการลงทุนจะต้องประหยัดสามารถสร้างคุณค่าได้มากทั้งทางตรงและทางอ้อม
ตลอดจนสร้างคุณค่าเพิ่มในภายหลังได้มาก
ความแตกต่างของ CAI, WBI และ E-LEARNING
E-learning เป็นเสมือนวิวัฒนาการของ WBI
CAI ทำงานภายใต้
Standalone หรือ อาจทำงานภายใต้ Local Area Network เพราะ CAI มิได้ออกแบบเพื่อการสื่อสารถึงกัน
WBI ทำงานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถทำการสื่อสารภายใต้ระบบ
Multi-user ได้อย่างไร้พรมแดน
โดยผู้เรียนสามารถรับส่งข้อมูลการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics
Education Data) อย่างไม่จำกัดเวลา
ไม่จำกัดสถานที่ และผู้เรียนและผู้สอนสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้
และผู้สอนสามารถติดตามพฤติกรรมการเรียนตลอดจนผลการเรียนของผู้เรียนได้ และ
สิ่งที่ทำให้ CAI ต่างจาก WBI คือ เรื่องการสื่อสาร
WBI สามารถทำการสื่อสารภายใต้ระบบ Multiuser
ได้อย่างไร้พรมแดน
โดยผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนด้วยกัน อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ
ฐานข้อมูลความรู้ และยังสามารถรับส่งข้อมูลการศึกษาอิเล็คทรอนิค(Eletronic
Education Data ) อย่างไม่จำกัดเวลา
ไม่จำกัดสถานที่ ไม่มีพรมแดนกีดขวางภายใต้ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
หรืออาจเรียกว่าเป็น Virtual classroom เลยก็ได้
และนั้นก็คือการกระทำกิจกรรมใดๆ ภายในโรงเรียน ภายในห้องเรียน สามารถทำได้ทุกอย่างใน
WBI ที่อยู่บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
จนกระทั่งคุณจบการศึกษาเลย
ส่วน WBI เป็นการเรียนทางไกลผ่านทางเว็บ
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือ เอ็กซ์ทราเน็ตก็ตาม
ส่วน E-learning หมายถึงการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต
หรือ อินทราเน็ต เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ขอบคุณแหล่งที่มา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น